.

.

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

บันทึกอนุทินครั้งที่ 3


บันทึกอนุทิน
วิชา การจัดประสบการณ์การศึกษาแบบเรียนรวมสำหรับเด็กปฐมวัย
อาจารย์ผู้สอน  อ. ตฤณ   แจ่มถิน
วันที่ 27  มกราคม  2558 
เวลา 14.10-17.30  น.





           การศึกษาแบบเรียนร่วม   หมายถึง  อยู่ในความดูแลของครูซึ่งเป็นคนดูและเฉพาะศูนย์การศึกษาพิเศษ
           การศึกษาแบบเรียนรวม   หมายถึง มาเรียนตั้งแต่แรกเริ่มการศึกษา และอยู่ในความดูแลของพ่อกับแม่

         * เด็กพิเศษกับเด็กปกติ เมื่อได้มาอยู่ร่วมกันเขาจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และจะปรับตัวเข้าหากัน





     รูปแบบการจัดการศึกษา
                  การศึกษาปกติทั่วไป (Regular Education)
                  การศึกษาพิเศษ (Special Education)
                  การศึกษาแบบเรียนร่วม  (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
                  การศึกษาแบบเรียนรวม  (Inclusive Education

     การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
                  เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา

ความหมายของการศึกษาแบบเรียนร่วม (Integrated Education หรือ Mainstreaming)
                  การจัดให้เด็กพิเศษเข้าไปในระบบการศึกษาทั่วไป
                  มีกิจกรรมที่ให้เด็กพิเศษกับเด็กทั่วไปได้ทำร่วมกัน
                  ใช้ช่วงเวลาช่วงใดช่วงหนึ่งในแต่ละวัน
                  ครูปฐมวัยและครูการศึกษาพิเศษร่วมมือกัน

     การเรียนร่วมบางเวลา (Integration)
                  การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติในบางเวลา
                  เด็กพิเศษได้มีโอกาสแสดงออก และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กปกติ
                  เป็นเด็กพิเศษที่มีความพิการระดับปานกลางถึงระดับมาก จึงไม่อาจเรียนร่วมเต็มเวลาได้

     การเรียนร่วมเต็มเวลา (Mainstreaming)
                  การจัดให้เด็กพิเศษเรียนในโรงเรียนปกติตลอดเวลาที่เด็กอยู่ในโรงเรียน
                  เด็กพิเศษได้รับการจัดกระบวนการเรียนรู้และบริการนอกห้องเรียนเหมือนเด็กปกติ
                  มีเป้าหมายเพื่อให้เด็กเข้าใจซึ่งกันและกัน ตอบสนองความต้องการซึ่งกันและกันและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
                  เด็กปกติจะยอมรับความหลากหลายของมนุษย์ เข้าใจว่าคนเราเกิดมาไม่จำเป็นต้องเหมือนกันทุกอย่าง ท่ามกลางความแตกต่างกัน มนุษย์เราต้องการความรัก ความสนใจ ความเอาใจใส่เช่นเดียวกันทุกคน 


     ความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education)

                  การศึกษาสำหรับทุกคน
                  รับเด็กเข้ามาเรียนรวมกันตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษา
                  จัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล 

     Wilson , 2007
                  การจัดการเรียนการสอนที่ยึดปรัชญาของการอยู่รวมกัน (Inclusion) เป็นหลัก
                  การสอนที่ดี เป็นการสอนที่ครูกับนักเรียนช่วยกันให้ทุกคนเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชน
                  กิจกรรมทุกชนิดที่จะนำไปสู่การสอนที่ดี (Good Teaching) ต้องคิดอย่างรอบคอบเพื่อหาหนทางให้นักเรียนทุกคนสามารถเรียนได้
                  เป็นการกำหนดทางเลือกหลายๆ ทาง



สรุปความหมายของการศึกษาแบบเรียนรวม

                  เป็นการจัดการศึกษาที่จัดให้เด็กพิเศษเข้ามาเรียนรวมกับเด็กปกติ โดยรับเข้ามาเรียนรวมกัน ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการศึกษาและจัดให้มีบริการพิเศษตามความต้องการของแต่ละบุคคล
                  เด็กพิเศษทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ถ้าได้รับโอกาสในการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการพิเศษของเขา
                  เกิดจากปรัชญาการศึกษาที่กล่าวไว้ว่า การศึกษาสำหรับทุกคน  (Education for All)
                  การเรียนรวม เป็นแนวคิดทางการศึกษาอย่างหนึ่งที่โรงเรียนจะต้องจัดการศึกษาให้กับเด็กทุกคนโดยไม่มีการแบ่งแยกว่าเด็กคนใดเป็นเด็กปกติ หรือเด็กคนใดเป็นเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
                  เด็กเลือกโรงเรียนไม่ใช่โรงเรียนเลือกเด็ก
                  เด็กทุกคนที่ผู้ปกครองพาเข้ามาโรงเรียนทางโรงเรียนจะต้องรับเด็กไว้ และจะต้องจัดการศึกษาให้อย่างเหมาะสม และดำเนินการเรียนในลักษณะ รวมกัน ที่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคม ทุกคนยอมรับซึ่งกันและกัน
                  ทุกคนยอมรับว่ามี ผู้พิการ อยู่ในสังคมและเขาเหล่านั้นต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันกับคนปกติ โดยไม่มีการแบ่งแยก

ความสำคัญของการศึกษาแบบเรียนรวม

สำหรับเด็กปฐมวัย


                  ปฐมวัยเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการเรียนรู้
         สอนได้
      เป็นการจัดการศึกษาสำหรับเด็กพิเศษที่มีขีดจำกัดน้อยที่สุด






ครูไม่ควรวินิจฉัย
                  การวินิจฉัย หมายถึงการตัดสินใจโดยดูจากอาการหรือสัญญาณบางอย่าง
                  จากอาการที่แสดงออกมานั้นอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้

ครูไม่ควรตั้งชื่อหรือระบุประเภทเด็ก
                  เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
                  ชื่อเปรียบเสมือนตราประทับตัวเด็กตลอดไป
                  เด็กจะกลายเป็นเช่นนั้นจริงๆ 

ครูไม่ควรบอกพ่อแม่ว่าเด็กมีบางอย่างผิดปกติ
                  พ่อแม่ของเด็กพิเศษ มักทราบดีว่าลูกของเขามีปัญหา
                  พ่อแม่ไม่ต้องการให้ครูมาย้ำในสิ่งที่เขารู้อยู่แล้ว
                  ครูควรพูดในสิ่งที่เป็นความคาดหวังในด้านบวก แต่ต้องไม่ให้เกิดความหวังผิดๆ
                  ครูควรรายงานผู้ปกครองว่าเด็กทำอะไรได้บ้าง เท่ากับเป็นการบอกว่าเด็กทำอะไรไม่ได้


ครูทำอะไรบ้าง
                  ครูสามารถชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมของเด็กในเรื่องที่เกี่ยวกับพัฒนาการต่างๆ
                  ให้ข้อแนะนำในการหาบุคลากรที่เหมาะสมในการประเมินผลหรือวินิจฉัย
                  สังเกตเด็กอย่างมีระบบ
                  จดบันทึกพฤติกรรมเด็กเป็นช่วงๆ 

สังเกตอย่างมีระบบ
                  ไม่มีใครสามารถสังเกตอย่างมีระบบได้ดีกว่าครู
                  ครูเห็นเด็กในสถานการณ์ต่างๆ ช่วงเวลายาวนานกว่า
                  ต่างจากแพทย์ นักจิตวิทยา นักคลินิก มักมุ่งความสนใจอยู่ที่ปัญหา

การตรวจสอบ
                  จะทราบว่าเด็กมีพฤติกรรมอย่างไร
                  เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ครูและพ่อแม่เข้าใจเด็กดีขึ้น
                  บอกได้ว่าเรื่องใดบ้างที่เด็กต้องการความช่วยเหลือ 

ข้อควรระวังในการปฏิบัติ
                  ครูต้องไวต่อความรู้สึกและตัดสินใจล่วงหน้าได้
                  ประเมินให้น้ำหนักความสำคัญของเรื่องต่างๆได้
                  พฤติกรรมบางอย่างของเด็กไม่ได้ปรากฏให้เห็นเสมอไป 

การบันทึกการสังเกต
                  การนับอย่างง่ายๆ
                  การบันทึกต่อเนื่อง
                  การบันทึกไม่ต่อเนื่อง

การนับอย่างง่ายๆ
                  นับจำนวนครั้งของการเกิดพฤติกรรม
                  กี่ครั้งในแต่ละวัน กี่ครั้งในแต่ละชั่วโมง
                  ระยะเวลาในการเกิดพฤติกรรม 

การบันทึกต่อเนื่อง
                  ให้รายละเอียดได้มาก
                  เขียนทุกอย่างที่เด็กทำในช่วงเวลาหนึ่ง หรือช่วงกิจกรรมหนึ่ง
                  โดยไม่ต้องเข้าไปแนะนำช่วยเหลือ 

การบันทึกไม่ต่อเนื่อง
                  บันทึกลงบัตรเล็กๆ
                  เป็นการบันทึกสั้นๆเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กแต่ละคนในช่วงเวลาหนึ่ง 

การเกิดพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป
                  ควรเอาใจใส่ถึงระดับความมากน้อยของความบกพร่อง มากกว่าชนิดองความบกพร่อง
                  พฤติกรรมไม่เหมาะสมที่พบได้ในเด็กทุกคน ไม่ควรจัดเป็นสิ่งผิดปกติ

การตัดสินใจ
                  ครูต้องตัดสินใจด้วยความระมัดระวัง
                  พฤติกรรมของเด็กที่เกิดขึ้น ไปขัดขวางความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กหรือไม่ 



กิจกรรมวาดภาพ " ดอกชบา" 



  • จากที่ได้เรียนเนื้อหาทั้งหมดในวันนี้สามารถเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาแบบเรียนรวมมากยิ่งขึ้น สามารถนำไปปรับใช้กับเด็กได้ต่อไปในอนาคตและมีบทบาทหน้าที่ของครูที่ดีสอนเด็กได้อย่างเข้าใจและถูกต้อง และยังได้รู้ว่าเด็กพิเศษกับเด็กปกติ เมื่อได้มาอยู่ร่วมกันเขาจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และจะปรับตัวเข้าหากัน  เนื้อหาทั้งหมดนี้ถือเป็นความรู้ที่ดีมากและเมื่อเราออกไปสอนทำให้เราเข้าใจเด็กพิเศษได้ดีมากยิ่งขึ้น

  • ประเมินตนเอง

          วันนี้มาเรียนตรงเวลาแต่งกายเรียบร้อย ตั้งใจเรียนและจดเนื้อหาที่อาจารย์สอนเพื่มเติม แต่ชอบหันไปคุยกับเพื่อนด้านหลัง รู้สึกภูมิใจกับกินจรรมที่อาจารย์ให้วาดรูปดอกชบามาก เพราะทำออกมาดีและมีส่วนคล้ายกับในตัวอย่าง
  • ประเมินเพื่อนๆ
          มาเรียนตรงเวลาตั้งใจเรียนและฟังอาจารย์สอนกันทุกคน อาจมีบ้างคนที่คุยกัน และเพื่อนๆตั้งใจทำกิจกรรมที่อาจารย์ให้วาดรูปกันอย่งเต็มที่และออกมาสวยเกือบทุกคน


  •  ประเมินอาจารย์
         อาจารย์เข้าสอนตรงเวลา ทุ่มเทในการสอนมาก อารมณ์ดีตลอด และมีกิจกรรมที่น่าสนใจให้นักศึกษาได้ทำ



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น